เทศน์เช้า

กฐินวัดป่าตะนาวศรี

๔ พ.ย. ๒๕๖๑

เทศน์เช้า วันที่ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๑

(กฐิน)

พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

 

ณ วัดป่าตะนาวศรี ต.ตะนาวศรี อ.สวนผึ้ง จ.ราชบุรี

 

อ้าว! ตั้งใจฟังธรรมะนะ ตั้งใจฟังธรรม ฟังธรรมๆ เพราะว่าวันนี้มันเป็นวันสำคัญ มันเป็นวันทอดกฐินของชุมชนไง เป็นวันสำคัญ เป็นวันทอดกฐิน

การทอดกฐิน เพราะมันต้องมีพระจำพรรษาครบสงฆ์ ถ้าครบสงฆ์ถึงมีการทอดกฐิน ถ้าพระไม่ครบสงฆ์ ถ้าทำบุญได้ก็ทำบุญผ้าป่า ทำบุญด้วยตามประเพณีวัฒนธรรม

ไอ้นี่ก็เหมือนกัน ถ้าทอดกฐิน ทอดกฐินมันก็เป็นประเพณีวัฒนธรรม แต่เป็นประเพณีวัฒนธรรมตามวินัยกรรม ตามธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบัญญัติไว้ว่า ถ้ามีสงฆ์ครบแล้วถึงมีการทอดกฐินภายในหนึ่งเดือนไง

ถ้าการทอดกฐินนั้น การทอดกฐินนั้นมันก็เป็นประเพณีวัฒนธรรม ถ้าเป็นประเพณีวัฒนธรรม แต่ถ้ามันเข้าถึงใจนะ มันมีคุณค่ามาก

ทำไมคนต้องทำบุญทุกวันๆๆ เพราะอะไร เพราะคนต้องหายใจทุกวันๆๆ เวลาคนเรามีความทุกข์ความยากในใจทุกวันๆ เห็นไหม

แต่ถ้าเรามีการเสียสละ เสียสละนะ แม้แต่ในครอบครัวของเราให้โอกาสกัน สั่งสอนกัน ให้ธรรมเป็นทานๆ พ่อแม่ให้ทุกวันเลย เพราะพ่อแม่สั่งสอนลูกทุกวันเลย ให้ธรรมเป็นทานสำคัญมาก ถ้าพ่อแม่อบรมลูกของเรา ลูกเราเป็นคนดี นั่นสำคัญมาก ความสำคัญๆ คือว่าหัวใจมันเป็นธรรม หัวใจมันเป็นธรรมไง แต่คนเราถ้ามันทำมันคุ้นชินๆ ไป นี่เป็นประเพณีวัฒนธรรม

เวลาไปวัดไปวาขึ้นมา เวลาสอนลูกให้กราบพระ ลูกมันก็งงนะ “กราบอย่างไรล่ะ” “ก็กราบหนึ่ง สอง สามไง กราบหนึ่ง สอง สาม หนึ่ง สอง สาม” เลยกลายเป็นว่ากราบหนึ่ง สอง สาม

แต่เวลาหลวงตาท่านสอนนะ ให้กราบพระพุทธ ให้กราบพระธรรม ให้กราบพระสงฆ์

ถ้ากราบหนึ่ง สอง สาม หนึ่ง สอง สาม ต่อไปเด็กมันก็ไปสอนลูกมันว่า กราบหนึ่ง สอง สาม หนึ่ง สอง สาม แล้วหนึ่ง สอง สามมันเป็นอะไรล่ะ

หนึ่ง สอง สาม ถ้าคนคิดเลขไม่เป็นมันก็ไม่รู้จักหนึ่ง สอง สามนะ แต่หนึ่ง สอง สามมันก็เป็นเรื่องโลกๆ ใช่ไหม

แต่ถ้าเรากราบพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แล้วคนที่จิตใจเป็นธรรมๆ นะ เวลากราบพระพุทธเขาระลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ระลึกถึงบุญคุณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ระลึกถึงเมตตาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันกราบมาจากหัวใจนะ

เวลาหลวงตาท่านบรรลุธรรมๆ นะ เวลาระลึกถึงว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารู้ได้อย่างไร รู้ได้อย่างไร มันลึกซึ้ง มันลึกซึ้ง

แต่พวกเรามันมืดบอด หนึ่ง สอง สามไง ไหว้พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ไง

เวลากราบพระพุทธ กราบถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กราบพระธรรม พระธรรมคือธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่บรรลุธรรมอันนั้น กราบพระสงฆ์ พระสงฆ์คือพระอริยเจ้าที่มีดวงตาเห็นธรรมๆ ถ้าเรากราบพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มันก็กราบถึงรัตนตรัยของเรา ถ้ากราบถึงรัตนตรัยของเรา มันเข้าถึงใจของเราๆ

นี่ก็เหมือนกัน การทอดกฐินๆ ถ้าการทอดกฐินด้วยศรัทธาด้วยความเชื่อมั่นในใจของเรา มันเข้าถึงในหัวใจของเราๆ ไง ถ้ามันเข้าถึงหัวใจของเรานะ มันซาบซึ้ง มันเป็นภาพประทับใจไปตลอดชีวิต เวลามันเป็นภาพประทับใจไปตลอดชีวิต มันซึ้งใจ เห็นไหม

ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนไว้ว่า มนุษย์เราหาเงินมาได้หนึ่งบาท เราจะเลี้ยงชีพกันหนึ่งสลึง เราจะเลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่ของเราหนึ่งสลึง เราจะทำธุรกิจการค้าหนึ่งสลึง อีกหนึ่งสลึงฝังดินไว้ ฝังดินไว้นี่ไง

ถ้ามันซาบซึ้งใจ ซาบซึ้งใจมันเข้าถึงหัวใจ เห็นไหม

เวลาคนเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เวลาคนตาย สิ่งที่เราทำบุญกุศล ทำบุญกุศลอุทิศให้ต่อกัน แต่เวลาถ้ามันฝังไปในหัวใจ มันไปกับเราๆ เราเป็นคนเอาของเราไปเอง เราเข้าใจของเราไปเอง นี่ถ้าเข้าถึงความเป็นจริง

ถ้าการทอดกฐินๆ ไง ถ้ามันเข้าถึงหัวใจของเรา เข้าถึงสัจจะความจริงของเรา มันจะเป็นบุญกุศล มันไปกับวัฏฏะ มันไปกับหัวใจของเรา ไม่ต้องอุทิศส่วนกุศลต่อกันๆ มันไปกับเรา นี่ทิพย์สมบัติ ทิพย์สมบัติที่เวลาทำบุญกุศลแล้วเป็นทิพย์สมบัติๆ

คำว่า ทิพย์สมบัติ” นะ มันเกิดขึ้นมาได้เพราะอะไรล่ะ

เกิดมาได้เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรม พอองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมากระจ่างแจ้งไปในวัฏฏะๆ

ในวัฏฏะทำบุญอย่างใด ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว การทำคุณงามความดีๆ ทำคุณงามความดีของเราที่ไหน ถ้าคุณงามความดีของเรา ทำดีๆ ดีของใคร ถ้าทำดี ดีของเรานะ เราเสียสละของเราเพื่อประโยชน์กับเราๆ ถ้าเพื่อประโยชน์กับเรา มันมีความตั้งใจที่จะเสียสละ ที่จะทำประโยชน์เพื่อเราๆ ถ้าทำประโยชน์เพื่อเรา เห็นไหม

ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนไว้ว่า ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก มันจะรู้จำเพาะตนๆ รู้ในหัวใจของตน ถ้ารู้ในหัวใจของตน แล้วการค้นคว้าหาหัวใจของตนนี้มันแสนยาก ฉะนั้น เวลาเราจะทำบุญทอดกฐินมันต้องมีพระครบสงฆ์ๆ พระครบสงฆ์ก็มาจากเรานี่

เวลาทางโลกเขาว่า พระ เวลากราบพระ กราบพระก็กราบลูกชาวบ้านๆ

เวลาทางโลกที่เขามีความบีบคั้นหัวใจของเขา เขาเห็นสภาวะอย่างนั้น เขารับของเขาไม่ได้ ถ้ารับของเขาไม่ได้ กราบพระก็กราบลูกชาวบ้าน

ก็ลูกชาวบ้านมีศรัทธาความเชื่อ มีความเชื่อในพระพุทธศาสนาถึงได้มาบวชพระ เวลาบวชพระขึ้นมา บวชพระขึ้นมาแล้วออกประพฤติปฏิบัติ ออกพระกรรมฐาน พระกรรมฐานต้องไปอยู่ป่าอยู่เขา

ทำไมต้องไปอยู่ป่าอยู่เขาล่ะ

เพราะธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ในป่า ตรัสรู้ในป่า คนที่อยู่ในที่สงัด ในที่วิเวก ในที่จะหาหัวใจของตนในการประพฤติปฏิบัติของเรา

นี่ก็เหมือนกัน เวลาพระบวชแล้วๆ พระถ้ามีศรัทธามีความเชื่อของเขา เขาจะเข้าป่าเข้าเขาของเขา เข้าป่าเข้าเขาไปเพื่ออะไร เข้าป่าเข้าเขาไปเพื่อประพฤติปฏิบัติ ถ้าเวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมามีครูบาอาจารย์สั่งสอนหรือไม่

ถ้ามีครูบาอาจารย์สั่งสอน หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านทำของท่านมาก่อน เวลาท่านทำของท่านขึ้นมานะ เวลาคนนะ คนออกแสวงหา ออกแสวงหานี่มันทุกข์มันยากมากนะ มันทุกข์มันยากขึ้นมา ทุกข์ยากเริ่มต้นมันทุกข์ยากจากภายนอกก่อน ทุกข์ยากจากความวิเวก ความสงัด ความกลัวต่างๆ ไอ้นั่นมันเรื่องภายนอก เรื่องภายนอก เราไปอยู่ที่ไหนก็แล้วแต่ จะมีคนอุปถัมภ์อุ้มชูเราหรือไม่

คำว่า อุปถัมภ์อุ้มชูเรา” มันเป็นเรื่องเวรเรื่องกรรมของคน เรื่องเวรกรรมของคนนะ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาพระที่ประพฤติปฏิบัติถึงที่สุดแห่งทุกข์ พระสีวลีมีลาภสักการะมหาศาล พระสีวลีมีลาภมหาศาลเพราะอะไร

เพราะเวลาถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าเขาทำของเขามา เขาทำของเขามา ทุคตะเข็ญใจเวลาเป็นพระอรหันต์ขึ้นมาฉันข้าวไม่เคยอิ่มๆ นั่นมันมีต้นเหตุมีการกระทำมา

นี่ก็เหมือนกัน เริ่มต้นจะออกประพฤติปฏิบัติ หนทาง สิ่งที่เรามาทอดกฐินกันมันเป็นปัจจัย ๔ มันเป็นปัจจัย ๔ เป็นการอุ้มชูค้ำชู ค้ำชูพระพุทธศาสนา ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เขาค้นคว้าเขาหาสัจจะความจริง หาหัวใจของตน เขาหาความจริงในใจของตน เวลาไปอยู่ป่าอยู่เขาขึ้นมา เขาอยู่ป่าอยู่เขาเพื่อความสงบสงัดไง นี่มันเป็นความขัดแย้งกันระหว่างโลกกับธรรม เวลาโลกต้องการความเจริญ โลกต้องการความสะดวกสบาย

แต่ธรรมะๆ ถ้าความสะดวกสบาย หลวงตาท่านพูดประจำ กินแล้วนอน กอนแล้วนิน มันเป็นหมู

ถ้าโลกมันสุขสบายแล้วมันก็หลงตัวมันเอง มันก็เพลิดเพลินในตัวมันเองของมัน แต่เวลาเราจะประพฤติปฏิบัติของเรา สิ่งนั้นเลี้ยงชีพ เลี้ยงชีพไว้ทำไม เลี้ยงชีพไว้ประพฤติปฏิบัติ เลี้ยงชีพไว้ค้นคว้าหาสัจจะความจริงในใจของตน ถ้าเลี้ยงชีพไว้หาสัจจะความจริงในใจของตน

คำว่า อยู่ป่าๆ” ถ้ามันเป็นทางโลกๆ เวลาเด็กมันกราบหนึ่ง สอง สาม เวลาคนที่มีศรัทธามีความเชื่อในหัวใจกราบพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์

นี่ก็เหมือนกัน ไปอยู่ป่าอยู่เขา อยู่ป่าอยู่เขาให้เขาชื่นชมหรือ อยู่ป่าอยู่เขาให้ใครรับรองหรือ

ไม่ใช่ เขาไปป่าไปเขา เขาไปค้นคว้าหาใจของตน เวลาที่หลวงปู่มั่นท่านให้หลวงตาออกวิเวกไง หลวงตาท่านกลัวเสือมาก เวลากลัวเสือมาก ท่านบอกให้ไปอยู่ในป่าที่เสือดุๆ นั้น

เวลาไปนะ ท่านมีความคิดขึ้นว่า อาจารย์ของเราเป็นอาจารย์ของเรา ท่านไม่ลำเอียงหรอก ท่านไม่ได้กลั่นแกล้งเราหรอก ท่านไม่ได้บังคับให้เราไปเผชิญกับความทุกข์ยากอย่างนั้นหรอก แต่ท่านต้องมีเหตุผล

เวลาหลวงตาท่านจะไปนะ ท่านไปด้วยเหตุผลนะ ไปด้วยขาจะก้าวออกไปนี่สั่นหมดเลย แต่ท่านก็ตั้งใจไป ตั้งใจไปเพราะว่าอาจารย์ท่านสั่งให้ไป แล้วอาจารย์ท่านก็เล็งญาณของท่านแล้ว

เพราะถ้าอยู่ในชุมชน อยู่ในวัดอยู่วา มันอบอุ่น มันวางใจ มันนอนใจ แต่เวลาให้ไปหาใจของตน เวลาไปอยู่ที่เสือดุๆ ไปอยู่ที่เสือมันกินคน นี่มันกลัวไปหมด มันกลัวจนไม่กล้าคิดอะไรเลย แล้วเวลาคิดอะไรก็คิดแต่เรื่องเสือ เรื่องเสือจะทำร้ายเรา เรื่องคนนู้นจะมาทำร้ายเรา แต่เวลามันตั้งใจพุทโธๆ เพราะมันกลัวมาก ถ้ามันส่งออก นั่นน่ะคือเหตุผลของความคิด

ถ้าความคิด ความคิดจะกลัว เพราะมันส่งออก ถ้าส่งออก เราไม่ส่งออกเลย เราอยู่กับพุทโธๆๆ ท่านก็พุทโธๆ จนจิตมันสงบได้ นี่ไง คนที่มีปัญญานะ เขาใช้วิกฤตินั้นเป็นโอกาส เขาใช้วิกฤตินั้นเพื่อจะค้นคว้าหาใจของตน

ใจนี้หายากมากนะ หลวงตาท่านพูดประจำว่า ทำสมาธิๆ ไอ้ว่างๆ ว่างๆ โกหกทั้งนั้น

ว่างๆ อากาศมันก็ว่าง เห็นไหม เราอยู่ในเมือง เราอยากจะพักผ่อน เราก็อยากอยู่กับบรรยากาศที่ดีๆ บรรยากาศธรรมชาติ นี่ก็เหมือนกัน หัวใจที่มันว่างๆ ว่างๆ มันคิดว่างก็ได้ ถ้าเป็นความจริงนะ คนในพื้นที่เขาอยู่ที่นี่มาตั้งแต่เกิด เขาเห็นมาทุกวัน เขาสงสัย เฮ้ย! พวกนี้มาทำไมกันวะ เราอยู่นี่มันก็ธรรมดาไง

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าจิตมันพุทโธๆ จนมันว่างของมันจริงนะ มันวางของมันได้จริงนะ นั่นน่ะคือความมหัศจรรย์ นี่เวลาที่หลวงตาท่านไปป่าไปเขา หลวงปู่มั่นท่านสั่งให้ไป ท่านพูดเอง บอกว่า เวลาไป คนเรานะ เวลามันกลัว เวลามันวิตกกังวล แล้วครูบาอาจารย์สั่งให้ไปทำอย่างนั้นน่ะ มันรักเราจริงหรือ รักเราจริงหรือ

แต่เวลาไปขึ้นมาแล้ว รักจริง แล้วพอทำได้จริงนะ โอ้โฮ! ก้มลงกราบแล้วกราบอีก กราบครูบาอาจารย์ของเรา แล้วต่อไปนี้ขอให้แนะนำมา เชื่อ ขอให้แนะนำมาเถิด เวลาไปแล้ว ความกลัวเป็นความกลัว ความกลัวมันขัดแย้งกับกิเลส

คนเรานะ กิเลส ลูกร้องเรียนกับพ่อแม่ทั้งนั้นน่ะ “พ่อแม่ไม่รักเรา พ่อแม่ไม่รักเรา” ทั้งๆ ที่พ่อแม่ไม่รักลูกมันมีที่ไหน แต่พ่อแม่จะสอนลูก สอนลูกให้มีวิชาการ สอนลูกให้ฉลาด ถ้าลูกฉลาด มันต้องฉลาดที่ตัวเราก่อน ถ้ามันฉลาดที่ตัวเรานะ เรามีสติปัญญาขึ้นมา ใครมันจะหลอก เพื่อนที่ไหนจะมาหลอก

ไอ้ที่มันโดนหลอกๆ เพราะว่าข้างในมันกลวง มันต้องการให้คนยอมรับมัน แล้วเราสอนลูกเราๆ สอนลูกให้ฉลาดขึ้นมา ถ้าสอนลูกให้ฉลาดขึ้นมามันมีสติปัญญาขึ้นมา นั่นมันเป็นประโยชน์

นี่พูดถึงว่าเวลาพระไปอยู่ป่าอยู่เขา เขาไปอยู่ป่าอยู่เขาไม่ได้ไปอยู่แบบซื่อบื้อ การไปอยู่ป่าอยู่เขา สิ่งที่คนเขาอยู่ป่าอยู่เขา คนในพื้นที่เขาอยู่ที่นั่นมาตลอด ดูสิ ชนกลุ่มน้อย ชนกลุ่มน้อย เวลาหลวงปู่มั่นท่านไปอยู่กับพวกมูเซอนั่นน่ะ พวกมูเซอเขาอยู่ของเขาด้วยวัฒนธรรมของเขา เวลามีคนนอกเข้าไป ด้วยความหวาดระแวง เสือเย็น เสือเย็น เวลาว่าท่านเป็นเสือเย็นๆ ท่านมีเมตตานะ ถ้าเป็นคนอื่นนะ เขาเข้าใจเราผิด เราก็ไปซะ

แต่เวลาหลวงปู่มั่นท่านบอกกับลูกศิษย์ของท่านว่า “เราไปไหนไม่ได้แล้วล่ะ ถ้าเราจะไปที่อื่น หมู่บ้านนี้ทั้งหมู่บ้านเลย เวลาเขาเสียชีวิตไปแล้วเขาจะมีเวรมีกรรมของเขา ต้องอยู่แก้เขาก่อน ต้องอยู่แก้เขาก่อน” อยู่อย่างนั้นน่ะ ๖ เดือน ๗ เดือน ตากแดดตากฝนอยู่อย่างนั้นน่ะ

เขาก็ส่งคนมาเฝ้า เขาส่งคนมาดูเลย แล้วลูกบ้านเขาบอกว่า ผู้ใหญ่บ้านคิดผิดแล้วล่ะ เพราะไม่เห็นเขาทำอะไรเลย เห็นเขาเดินไปก็เดินมา เดินมาก็เดินไป จนสุดท้ายเขาตัดสินใจกันว่า อย่างนั้นเราต้องเข้าไปถามท่านว่าท่านมาทำไม

เวลาอุบายของท่านนะ “โอ๋ย! พุทโธเราหาย เรามาหาพุทโธของเรา แล้วชาวบ้านช่วยหาได้หรือไม่ ถ้าชาวบ้านช่วย” ก็บอกว่าได้สิ ถ้าชาวบ้านช่วยหายิ่งดีใหญ่เลย เดี๋ยวมันจะได้เจอ

คนคนนั้นก็หัดของเขาจนจิตเขาสงบได้ เขาบอกพุทโธตุ๊ไม่หาย พุทโธตุ๊ไม่หายหรอก ชาวบ้านต่างหากโง่เขลา ชาวบ้านต่างหากไม่เข้าใจ ไปขอขมาลาโทษท่านนะ แล้วสุดท้ายทำตามท่านๆ หมู่บ้านเขาเป็นหมู่บ้านที่ซื่อสัตย์ หมู่บ้านที่ซื่อสัตย์เขาก็ทำมาหากินของเขาโดยปกติของเขา แต่เวลาเขามีศีลธรรมเข้าไปในหัวใจของเขา หมู่บ้านของเขายิ่งรื่นเริง หมู่บ้านของเขายิ่งมั่นคงขึ้น เขาเคารพบูชามาก

จากที่มาแล้วเห็นว่าเป็นเสือเย็น ผู้ที่มาทำลายล้าง แต่เวลาอยู่ด้วยกัน “เราไปไหนไม่ได้แล้วล่ะ เราต้องแก้ไขเขาก่อน” เวลาแก้ไขเขาได้แล้วไง “เราต้องไปแล้วนะ” เวลาไป “ตุ๊จะไปไหน ถ้าตุ๊ตายก็จะทำให้ เผาศพก็ได้ ทำอะไรก็ได้ หมู่บ้านทั้งหมู่บ้านทำไมจะทำให้ไม่ได้” ท่านบอกต้องไป

เวลาพระของเรา ครูบาอาจารย์ของเราที่เป็นธรรมท่านเสียสละของท่านเพื่อธรรมทายาท เพื่อให้ศาสนานี้มั่นคง ท่านต้องไปเอาลูกศิษย์ลูกหาต่อเนื่องไป ให้คนที่เห็นผิดให้มาเห็นถูก คนที่เห็นผิดให้มาเห็นถูก

นี่ก็เหมือนกัน พระที่มาอยู่ป่าอยู่เขา พระที่ออกมาไม่ใช่ออกมาแอ็กต์ชัน ไม่ต้องมาอวดใคร เดี๋ยวนี้นะ ละครเขาแต่งเรื่องร้อยแปดได้ทั้งนั้นน่ะ เขาจะแต่งให้เป็นเทวดาอะไรก็ได้ แต่ความเป็นจริงมันไม่ได้ ความเป็นจริงมันหัวใจของเราที่มันทุกข์มันยาก

เราเกิดมาเป็นคน เวลาเราสอนลูกสอนหลานกราบหนึ่ง สอง สาม หนึ่ง สอง สาม แต่ถ้าเราสอนลูกของเราให้กราบถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เราจะอธิบายให้ลูกเราเข้าใจได้อย่างไร เด็กๆ มันจะเข้าใจถึงพระพุทธไหม เด็กๆ มันจะเข้าใจถึงพระธรรมไหม เด็กๆ มันเข้าใจถึงพระสงฆ์ไหม

แล้วเวลาพระสงฆ์ พระสงฆ์ก็ลูกชาวบ้านไง แล้วลูกชาวบ้านถ้าคนมีสติปัญญาของเขา ลูกชาวบ้านของเขา เขาขวนขวายของเขา ลูกชาวบ้านเขาเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เขาเห็นคุณค่าของชีวิต คุณค่าของชีวิต สิ่งที่ได้มาเป็นผลของวัฏฏะ มันเป็นเรื่องของสมมุติทั้งนั้นน่ะ แต่ที่ความเป็นจริง ความเป็นจริงมันเป็นความเป็นจริงในหัวใจ แล้วหัวใจมันหาที่ไหน

ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาก็ศึกษามาเป็นวิชาการ ศึกษามาไว้ปากเปียกปากแฉะ ศึกษามาไว้โต้เถียงกัน ศึกษามาว่าเพื่อตัวเองมีปัญญา

ปัญญาอย่างไร เพราะว่าทางโลกปัญญาของเขาปัญญาในกลุ่มชนที่มีปัญญาอย่างนั้นปัญญาด้อยค่า แต่ยังไม่ได้พบครูบาอาจารย์ของเรา ถ้าพบครูบาอาจารย์ของเรานะ สุตมยปัญญา ปัญญาจากการศึกษานี่เขาเรียกวิชาชีพ เลี้ยงชีพเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง คนที่ศึกษามาจนจบ ๙ ประโยคสึกไปแล้วไปเขียนหนังสือขายกัน

แต่หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านศึกษามา ท่านศึกษาหัวใจของท่าน การที่จะศึกษาหัวใจของท่าน ท่านต้องค้นคว้าหัวใจของท่านให้ได้ก่อน ถ้าการค้นคว้าหัวใจของท่าน ถ้าไม่มีหัวใจไปค้นคว้า มันจะเอาอะไรไปค้นคว้า เห็นไหม เวลาผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ เพราะว่ามันมั่นคงขึ้นมาแล้วไง

“ปฏิบัติแนวทางสติปัฏฐาน ๔ สิคะ ปฏิบัติแนวทางสติปัฏฐาน ๔ สิคะ” นี่ไง วิชาชีพ เพราะอะไร เพราะเขาสร้างสำนักปฏิบัติขึ้นมาแล้วก็หาผลประโยชน์กันเป็นธุรกิจกันไง “แนวทางสติปัฏฐาน ๔ สิคะ จิตสงบแล้วพิจารณากายสิคะ”

ในสติปัฏฐาน ๔ มีกาย มีเวทนา มีจิต มีธรรม ในกายไม่มีสติปัฏฐาน ๔ ในกายไม่มี กายซากศพมันไม่มีสติปัฏฐาน ๔ หรอก สติปัฏฐาน ๔ มันต้องเกิดจากจิต จิตที่สงบระงับแล้ว

แต่มันขัดแย้งกันไง มันขัดแย้งกันบอกว่า เขาบอกว่า “ไม่ต้องทำความสงบ พุทโธๆ เป็นสมถะ สมถะไม่ใช่วิปัสสนา ไม่ใช่วิปัสสนาไม่ใช่พระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาสอนเรื่องปัญญา”

ปัญญาอะไร นี่ไง หนึ่ง สอง สามไง กราบหนึ่ง กราบสอง กราบสาม ถ้ากราบพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์นะ มันต้องมีสติมีปัญญา มันจะเป็นสติปัฏฐาน ๔ ต่อเมื่อจิตที่สงบแล้ว จิตที่สงบแล้ว จิตของเรา

ดูสิ หลวงปู่มั่นท่านให้หลวงตาไปอยู่ในป่าในเขา ไปอยู่ในป่าในเขา แบบว่าหนามยอกเอาหนามบ่งนะ หลวงตาท่านพูดเองว่าท่านเป็นคนกลัวเสือมาก เพราะท่านเคยเป็นพรานป่ามาก่อน ท่านเคยล่าสัตว์มา ท่านถึงรู้ว่าท่านเป็นคนกลัวเสือมาก แล้วอยู่ดีๆ เคยเป็นพรานล่าสัตว์นะ เข้าป่ามีอาวุธไปด้วย แต่คราวนี้มือเปล่าๆ ต้องไปเผชิญหน้ากับเสือ นี่ไง หนามยอกเอาหนามบ่ง

แล้วเวลาท่านเข้าป่าไปนะ ท่านด้วยความกลัวมาก ไม่กล้าคิดอะไร พุทโธๆๆ อย่างเดียวเลย คิดอย่างอื่นไม่ได้เลย มันกลัวมาก จนจิตสงบได้ จิตสงบแล้วยกขึ้นสู่วิปัสสนา จิตสงบแล้วรำพึงไปที่กาย จิตสงบแล้วรำพึงไปที่กาย ที่เวทนา ที่จิต ที่ธรรม จิตสงบแล้วไง จิตตภาวนา จิตสงบแล้วมันรู้มันเห็นของมันนะ มันจะเป็นความมหัศจรรย์ของมัน แล้วความมหัศจรรย์นั้น ผู้ที่รู้จริงเห็นจริงเท่านั้นที่เขาจะอธิบายสิ่งนี้ได้

ผู้ที่ไม่เคยเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรม มันเป็นอุปาทาน มันเป็นตรรกะ ตรรกะใครพูดก็ได้ “จิตสงบแล้วก็พิจารณากายสิคะ จิตสงบแล้วก็พิจารณากายสิคะ”

พิจารณาอย่างไรล่ะ เห็นอย่างไรล่ะ

เดี๋ยวนี้นะ การใช้เงินใช้ทองในท้องตลาด เงินถ้าเราไม่พิจารณานะ เงินปลอมเยอะแยะไปหมด แล้วเวลาเงินปลอมเขาต้องใช้ตอนที่คนเยอะๆ เวลาเขาต้องใช้แสงที่สลัวๆ เขาไม่กล้าใช้ตามความเป็นจริง

แต่ถ้าจิตเราสงบแล้วเราต้องพิจารณาของเราโดยความเป็นจริงของเรา ถ้าความเป็นจริงของเรา เห็นไหม นี่จะบอกว่า เวลาภิกษุไปอยู่ป่าๆ เขาไปอยู่ป่าเพื่อค้นคว้า เขาไปอยู่ป่าเพื่อสร้างธรรมทายาทขึ้นมาจากใจของเขา ถ้าเขาสร้างธรรมทายาทขึ้นมาจากใจของเขา ใจของเขาเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมตามความเป็นจริง เห็นสติปัฏฐาน ๔ ตามความเป็นจริง แล้วธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ศึกษากันมาๆ มันจะกังวานกลางหัวใจ มันจะรู้แจ้งแทงตลอดในใจของมันน่ะ ถ้ารู้แจ้งแทงตลอดในใจของมัน เห็นไหม

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมที่โคนต้นโพธิ์นั้น บุพเพนิวาสานุสติญาณ จุตูปปาตญาณ อาสวักขยญาณ ทำลายอวิชชาในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สว่างกระจ่างแจ้ง ๓ โลกธาตุ กามภพ รูปภพ ครอบงำไปหมดเลย จิตที่มหัศจรรย์ขนาดนั้นที่มันครอบคลุมในวัฏฏะ นี่เวลาที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรม เวลาหลวงตาท่านตรัสรู้ธรรม หลวงปู่มั่นตรัสรู้ธรรม ท่านเห็นของท่านตามความเป็นจริงอันนั้น

นี่ก็เหมือนกัน เราเป็นลูกศิษย์ลูกหา พระที่ออกมาประพฤติปฏิบัติ นี่มันเป็นหนทาง มันเป็นหนทางนะ จิตตภาวนานี่เป็นหนทาง วิปัสสนาญาณเป็นหนทางที่เราจะเข้าค้นคว้าหาใจของเรา พระที่มาอยู่ป่าอยู่เขา พระที่ออกประพฤติปฏิบัติเขาต้องการแสวงหาสิ่งนี้

แต่พระก็มาจากลูกชาวบ้าน พระก็มาจากคน พระก็มีพ่อมีแม่ เวลาพ่อแม่ เวลาลูกเกิดมา เลี้ยงดูมาจนอายุ ๒๐ ถึงได้มาบวช ฉะนั้น เวลาพระก็มาจากคน พระก็ต้องมีปัจจัยเครื่องอาศัย เวลามีปัจจัยเครื่องอาศัย อยู่กับสังคมใด นี่อาศัยเขา

หลวงตาเวลาท่านไปวิเวก หาสองหลังสามหลัง หาบ้านน้อยๆ หาพอที่เขาใส่บาตร พอตกบาตรพอดำรงชีพเท่านั้น เพราะถ้าบ้านใหญ่แล้วเขามากวนนะ เขามากวนคือเขามาถามปัญหา เขามาน่ะ เขามากวนเวลาในการประพฤติปฏิบัติเราจะน้อย

เวลาปฏิบัติ คนที่เวลาปฏิบัติขึ้นมาถ้ามันเป็นจริงเป็นจังขึ้นมา เหมือนการทำธุรกิจ ถ้าธุรกิจเราเจริญรุ่งเรือง เราก็อยากจะให้ธุรกิจเรารุ่งเรืองขึ้นไป

ผู้ที่ปฏิบัติพอเขามีแนวทางของเขาแล้ว เขาต้องการที่สงบสงัดของเขา เวลาดูพระดูตรงนี้ ดูที่ว่าเขาสำรวมระวังหรือไม่ เขารักษาดูแลใจของเขาหรือไม่ ถ้าเขาสำรวมระวัง เขารักษาดูแลใจของเขา เขาต้องรักษาไง

แต่ของเรา เราไม่มีอะไรเลย แล้วรักษาอะไรล่ะ เราไม่รู้จักรักษาอะไร เราก็สื่อสารกับข้างนอก เราก็เที่ยวเล่นของเราไปไง แต่คนที่เขามีข้างในของเขา ถ้ามีของเขา เขาจะรักษาของเขา เขารักษาของเขาด้วยความระวังของเขา ด้วยความหาที่สงัดที่วิเวกของเขา ถ้าคนที่มีสติมีปัญญาเขาส่งเสริมของเขา

อย่างเช่นพวกเรานี่ วันนี้เราจะมาทอดกฐินๆ เราทอดกฐินของเรา เราทอดกฐินด้วยศรัทธาด้วยความเชื่อของเรา เราจะฝังดินไว้ ฝังดินไว้ในหัวใจของเรา ทำให้มันเป็นความจริงของเราขึ้นมาไง ถ้าความจริงของเราขึ้นมา ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว มีการกระทำ มีการเสียสละ มันได้อยู่แล้วทั้งนั้นน่ะ ความได้ ได้มากได้น้อยไง

กราบหนึ่ง สอง สาม ถ้ากราบหนึ่ง สอง สาม เราไม่สอนหนึ่ง สอง สาม มันก็กราบไม่เป็นเลย เวลาสอนมันกราบหนึ่ง สอง สาม มันก็จะกราบหนึ่ง สอง สามตลอดไปไง

แต่ถ้าเราสอนมันว่า กราบพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มันกราบได้ยากไง มันกราบได้ยาก พระพุทธเป็นอย่างไร เด็กมันจะถามเลย ไอ้พ่อแม่ตอบไม่ได้ ยิ่งพระธรรมยิ่งงงใหญ่เลย พระสงฆ์ โอ้โฮ! พระสงฆ์ไม่ได้ เมื่อกี้เห็นพระทะเลาะกันอยู่เลย พระสงฆ์อะไร มันไม่เอาทั้งสิ้นน่ะ

ในสังคมทุกสังคมมีคนดีและคนชั่ว เราต้องคัดเลือกเอาสิ่งที่ดีงามของเรา เราเกิดมา โลกนี้มีทั้งบวกและลบ สิ่งที่เป็นลบและบวกมันก็ทำให้สังคมเคลื่อนไหวไป มันจะมีบวกทั้งหมด มีลบทั้งหมด มันเป็นไปไม่ได้

นี่ก็เหมือนกัน สิ่งที่มันไม่เป็นจริงๆ ถ้าไม่เป็นจริง มันเป็นแค่พิธีกรรมๆ แล้วพิธีกรรมมันทำได้ทั้งนั้นน่ะ

แต่เดิมหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านออกประพฤติปฏิบัตินะ ทุกคนไม่เชื่อถือศรัทธาทั้งนั้นน่ะ ท่านขวนขวายของท่าน ใช้ชีวิตของท่านเพื่อให้สังคมยอมรับ พอสังคมยอมรับขึ้นมา เดี๋ยวนี้แนวทางปฏิบัติมากมายมหาศาล แล้วปฏิบัติอย่างไรล่ะ ปฏิบัติพอเป็นพิธี ยิ่งเป็นพิธียิ่งง่าย จับพิธีเท่านั้นน่ะ แต่ถ้าความจริงแสนยาก เพราะพิธีนั้นน่ะมันจะเป็นกรอบ

เวลาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือทางสังคมเขาบอกว่า คิดนอกกรอบ คิดนอกกรอบ เวลาคิดนอกกรอบขึ้นมา เวลาเราจะคิดคุณงามความดีขึ้นมา “ไม่ได้ ผิดๆๆ” เวลามันจะเลวทรามนะ “ถูกๆๆ” นี่ไง แล้วคิดนอกกรอบ คิดนอกกรอบอย่างไร ถ้าคิดนอกกรอบ สิ่งที่คิดนอกกรอบ เราทำของเราให้มันเป็นความจริงขึ้นมา

ถ้าเป็นพิธีกรรมๆ ทำเป็นพิธี ตอนนี้เห็นเยอะมาก ธรรมยาตราๆ ธรรมยาตราก็ลูกเสือชาวบ้านไง ลูกเสือชาวบ้านมันก็ธรรมยาตรา ยิ่งทหารออกซ้อมรบมันเดินแถวทหาร มันก็ธรรมยาตรา มันจะเป็นปฏิบัติธรรมอย่างไร

แต่ถ้าเป็นความจริงนะ หลวงปู่มั่น เวลาหลวงตาท่านไปลา ถามหลวงตาว่า “ไปกับใคร” “ผมไปองค์เดียวครับ” “ใครอย่ามายุ่งนะ ให้ไปองค์เดียว เพราะการไปองค์เดียวไปแบบนอแรด”

เวลาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เอโก ธมฺโม ธรรมที่เป็นหนึ่ง ธรรมที่เป็นเอก หนึ่งคือเอก คือไม่เกาะเกี่ยวกับใคร เวลาไม่เกาะเกี่ยวกับใครนะ ไปอยู่ด้วยกันไม่มีปัญหาเลย ลองแยกไปสิ มันคิดทันทีเลย

ความคิดนี้ควบคุมได้ยาก ความคิดของเราควบคุมได้ยาก ยิ่งไปคนเดียวยิ่งวิตกกังวล ยิ่งมีความทุกข์ ยิ่งบีบคั้น แต่เราต้องมีสติ มีสติรักษาหัวใจของเรา เราจะค้นคว้าหาใจของเรา นี่ไม่ใช่ธรรมยาตรา ธรรมยาตรามันเดินกันเป็นหางเลย ไปนอนที่ไหนคุยกันทั้งวัน ยิ่งเดินไปยิ่งมีความสนุก มีความสนุกมันส่งออกทั้งนั้นน่ะ

ไม่ต้องกลัว ความคิดเรา สิ่งส่งออกมันมีอยู่ในสามัญสำนึกของมนุษย์อยู่แล้ว มนุษย์นี่มี แต่เวลาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ เวลาโปฐิละ โปฐิละเขาเป็นนักปราชญ์ เขามีลูกศิษย์ลูกหามหาศาล เวลาไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า “โปฐิละใบลานเปล่ามาแล้วหรือ” ความรู้ของเธอเปล่าประโยชน์ไง “โปฐิละใบลานเปล่าไปแล้วหรือ”

แล้วเวลาจะประพฤติปฏิบัติ ไปหาสำนักปฏิบัตินะ สามเณรสอน ร่างกายนี้เปรียบเหมือนจอมปลวก ให้ปิดตา หู จมูก ลิ้น กาย แล้วเปิดช่องหัวใจไว้คอยจับเหี้ยตัวนั้น คือหัวใจของเรา

นี่ไง ถ้าเราธรรมยาตรามันเปิดหมดไง ตา หู จมูก ลิ้น กาย นอนเอกเขนกเลย มีความสุข ถ้าปิดตา หู จมูก ลิ้น กาย เปิดหัวใจไว้อยู่คนเดียว แล้วคอยจับเหี้ยตัวนั้น เหี้ยตัวนั้นคือมารยาสาไถย เหี้ยตัวนั้นคือพญามารที่มันครอบคลุมหัวใจของเรา ถ้าจับเหี้ยตัวนั้นได้แล้วมาวิปัสสนา

ที่เรากำลังประพฤติปฏิบัติกันอยู่นี้ พระที่มาอยู่ป่าอยู่เขานี้ เขามีครูมีอาจารย์นะ เขามีความตั้งใจ เพราะข้อวัตรปฏิบัตินี้ หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านวางแนวทางไว้เป็นหนทาง แล้วเรามาประพฤติปฏิบัติ เรามาค้นคว้าหาใจของตน

ถ้าได้รับการสนับสนุนกับโลก ได้รับการสนับสนุนกับโลก ได้รับการสนับสนุนเพื่อดำรงชีพไว้ แต่การประพฤติปฏิบัติต้องเป็นปัญญาของตน ต้องเป็นศีล สมาธิ ปัญญาในใจของตน มันถึงเป็นปัจจัตตัง

ในปัจจุบันนี้ที่เราศึกษาเราเล่าเรียนกันอยู่นี้ เราเล่าเรียนธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่ศีล สมาธิ ปัญญาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราเรียนธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วบอกว่า “ธรรมะเป็นธรรมชาติ ธรรมะเป็นธรรมชาติ”

ธรรมชาติมันเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะนะ แต่ถ้าใจของเรา เรารู้สัจจะรู้ความจริงขึ้นมาแล้วเราวางทั้งหมด ที่เรายังเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เราเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ แต่เวลาเราวิปัสสนาแล้ว ถ้าเรารู้แจ้ง เราจะพ้นออกไปจากธรรมชาติ เพราะมันไม่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะไง มันพ้นออกจากวัฏฏะไปไง ถ้ามันพ้นออกจากวัฏฏะไป มันพ้นออกไปได้อย่างไร นี่พูดถึงว่า งานหลักของพระกรรมฐาน งานหลักของพระผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ

เวลาเขาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ถ้าสังคมเขาเข้าใจนะ เหมือนกับที่ว่าหลวงปู่มั่นท่านไปอยู่กับมูเซอนั่นน่ะ เพราะความไม่เข้าใจ เพราะความไม่เข้าใจ ทำไมมันไม่เหมือนกับพระที่อื่นล่ะ พระที่อื่นเขาก็อยู่สุขอยู่สบาย เขาก็อยู่ดีไปหมดเลย ไอ้พระพวกนี้ยุ่งยากมาก เข้าไปใกล้ก็ไม่ได้ อะไรก็ไม่ได้ทั้งสิ้นเลย

คำว่า ไม่ได้” ของท่าน ท่านจะรักษาหัวใจของท่าน ท่านดูแลหัวใจของท่าน แต่ถ้าเข้าใจด้วยความถูกต้องแล้ว สาธุ เราอยากได้พระดีๆ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ท่านเป็นพระโพธิสัตว์ ท่านเป็นกษัตริย์ที่ดีมาก ท่านฟื้นฟูประเทศชาติ ทำให้ประเทศชาติมั่นคง ก่อนที่จะพัฒนาประเทศไทยต้องพัฒนามนุษย์ก่อน ทางการแพทย์ ทางการแพทย์ต้องให้มนุษย์สุขภาพกายแข็งแรง ถ้าแข็งแรงแล้วนะ ทรัพยากรมนุษย์ที่แข็งแรง ถ้าทรัพยากรมนุษย์ที่มีสติปัญญาจะพัฒนาประเทศชาติ นี่ท่านสร้างของท่านมา ท่านสร้างของท่านมา เห็นไหม ชาติ

ศาสนา เราเกิดมาแล้วเรามีศรัทธามีความเชื่อของเรา เรามาบวชเป็นพระ ถ้าศาสนาที่มั่นคง ถ้าเรามีครูบาอาจารย์ที่ดี มีครูบาอาจารย์ที่เป็นวงกรรมฐาน จะยกหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นเป็นท่านอาจารย์ใหญ่ เป็นอาจารย์ใหญ่

หลวงตา ครูบาอาจารย์ของเราทั้งหมดท่านบอกเลย “หลวงปู่มั่นเป่ากระหม่อมมา หลวงปู่มั่นเป่ากระหม่อมมา”

เวลาเราข้องใจ เวลาเราคับแค้นใจ เวลาเรามีความวิตกกังวลในใจ ใครตอบเราไม่ได้หรอก เจ็บไข้ได้ป่วยไปหาหมอ หมอมาฉีดยารักษาได้หมด แต่หัวใจที่มันทุกข์มันยาก ใครรักษาไม่ได้ เว้นไว้แต่ทุกข์จนสติแตก ไปหาจิตแพทย์เท่านั้น จิตแพทย์ก็ทำให้กลับมาเป็นปกติให้มีสติเท่านั้น ไม่มีใครสามารถให้พ้นจากทุกข์ได้

ศาสนธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงมีคุณค่า หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ครูบาอาจารย์ของเราท่านเห็นคุณค่าคำสอนของหลวงปู่มั่นมาก คำสอนของพระพุทธเจ้ามาก

เวลาหลวงตาท่านพูดถึงหลวงปู่มั่นนะ ถ้ามีหนังสือวางอยู่ ท่านจะไม่นั่งเสมอ เพราะหนังสือนี้สามารถสื่อธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้

แล้วเวลาคนที่เขาศึกษาเป็น ๙ ประโยค ๑๐ ประโยค เขาบอกว่า “พระกรรมฐานไม่เคารพพระพุทธเจ้า พระกรรมฐานไม่มีการศึกษา”

ศึกษาแบบประสบการณ์ ศึกษาการปฏิบัติตรง ศึกษาการค้นคว้าใจของตน แล้วศึกษาเสร็จแล้วเทียบเคียงอันไหนธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่เคารพได้อย่างไร ศีล สมาธิ ปัญญา ถ้าศีลมันไม่มีหลักเกณฑ์ขึ้นมา มันทำสมาธิขึ้นมาได้อย่างไร

ถ้าสมาธิโดยพวก ๑๘ มงกุฎ สมาธิอย่างนั้นเป็นมิจฉา สมาธิมันยังมีมิจฉาสมาธิ สมาธิดำ สมาธิฝ่ายผิด สมาธิในทางไสยศาสตร์ สมาธิสัมมาสมาธิ สมาธิขาว ขาวอย่างไร แล้วทำไมถึงขาว

นี่ไง ในสติปัฏฐาน ๔ มีกาย เป็นสัมมาสมาธิ เป็นสมาธิแล้วถ้ารำพึงไป หรือถ้ามีวาสนามันจะมีกายขึ้นมาให้เห็นกาย ถ้าสติปัฏฐาน ๔ การเห็นกาย เห็นกายก็กระเทือนกิเลส

เพราะคนเรามีกายกับใจๆ นั่งอยู่นี่ ร่างกายนั่งอยู่นี่ แต่เวลาเจ็บปวดขึ้นมาหัวใจรับรู้ ซากศพเจ็บปวดไม่ได้ แต่เวลาเจ็บปวด เจ็บปวดจากหัวใจ หัวใจ เวทนามันรับรู้ได้ ถ้ามันจับต้องของมันได้ มันวิปัสสนาก็ได้ มันแก้ไขได้ แก้ไขได้คืออะไร

สักกายทิฏฐิ ทุกคนมีทิฏฐิมานะของตน ถ้าสักกายทิฏฐิความเห็นผิดในร่างกายของตน นี่ของเราๆๆ...ไม่ใช่ ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ของเรา เวลาพิจารณาไปมันปล่อยแล้ว ไม่ใช่ของเราคือของเรา

มันปล่อยไปแล้วนะ ไม่ใช่ของเรา แต่ความรู้จริงในใจของเราที่มันรู้จริงมันเห็นจริง โอ้โฮ! มันละสังโยชน์ สังโยชน์ ๓ คือสักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส สักกายทิฏฐิในปัจจุบันนี้เราคิดว่าเป็นเราๆ อยู่นี่ มันถึงมีความยึดมั่นถือมั่น เวลาเราพิจารณาของเรานะ เราทิ้งเลย ร่างกายนี้ทิ้งไปเลย มันเป็นอิสระ เห็นไหม เวลามันเป็นอิสระนะ กายเป็นกาย จิตเป็นจิต ทุกข์เป็นทุกข์ ร่างกายนี้กลับเป็นอิสระ ถ้าเป็นอิสระ ไม่มีอุปาทาน ไม่มีความวิตกกังวล ร่างกายมันเลยแข็งแรง

ตอนนี้วิตกกังวลไปหมดเลย คิดจนบ้า ไม่ป่วยก็คิดจนป่วย ไม่ป่วยก็คิดจนป่วย ไม่เป็นไรก็วิตกกังวลจนเป็น

แต่ถ้ามันเป็นจริงนะ จิตก็เป็นจิต เพราะมันมีสติปัญญาเข้าใจได้ สักกายทิฏฐิ ทิฏฐิความเห็นผิด พอมีสติมีปัญญาขึ้นมา นี่มีปัญญาเห็นถูก รักษาใจของตน ตบหัวใจไว้ ร่างกายเราได้มาด้วยเวรด้วยกรรม หัวใจนี้สิสำคัญมากกว่า หัวใจนี้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เพราะการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะได้สร้างบุญสร้างกุศลมา เราถึงได้เกิดเป็นมนุษย์

เกิดเป็นมนุษย์ มนุษย์ที่มีสติปัญญา นั่นเพราะเขาได้สร้างกรรมดีมา มนุษย์ที่ปัญญาด้อยนั่นเขาก็สร้างเวรกรรมของเขามา มนุษย์ต่างๆ มันเกิดมาโดยเวรโดยกรรม เห็นไหม แข่งอำนาจวาสนาแข่งกันไม่ได้ แต่ทางโลกเขาพยายามจะแข่งกัน พยายามจัดฉาก พยายามสร้างภาพ สร้างภาพ ยิ่งสร้างภาพยิ่งสร้างในทางเวรทางกรรมต่อเนื่องไป

ถ้าเราสร้างคุณงามความดีของเรา นี่พูดถึงว่า ทำไมต้องไปอยู่ป่า แล้วอยู่ป่าเพื่ออะไร

ไม่ได้อยู่ป่าโดยอวดใคร อวดคือกิเลส แล้วทำไมต้องอวด อวดชั่วเวลาเป็นครั้งเป็นคราว แต่ ๒๔ ชั่วโมงไปอมทุกข์อยู่น่ะ มันสมเหตุสมผลมันทำไม

แต่เวลาเราพอใจที่เราจะอยู่นะ ๒๔ ชั่วโมงนี่เราภาวนานะ ทางของสมณะเป็นทางกว้างขวาง โดยธรรมชาตินะ โดยปกติบิณฑบาตมาฉัน ฉันเสร็จแล้วมันเป็นโอกาสในการภาวนาจนถึงพรุ่งนี้เช้าได้ออกบิณฑบาต ๒๔ ชั่วโมงของพระกรรมฐาน นี่ภาวนาตลอด ๒๔ ชั่วโมง ทางของสมณะเป็นทางกว้างขวาง

ทางของคฤหัสถ์เป็นทางคับแคบ คับแคบขึ้นมา ตื่นเช้าขึ้นมานะ ต้องพาลูกไปส่งโรงเรียน ส่งลูกเสร็จแล้วต้องไปทำงาน ทำงานกลับมาแล้วต้องรับลูกกลับบ้าน รับลูกกลับบ้านแล้วต้องทำความสะอาดที่บ้าน ต้องทำอาหาร เวลาทำอาหารเย็นเสร็จแล้ว เวลาหัวค่ำได้สวดมนต์ ได้สวดมนต์ก่อนนอน ได้ภาวนา ๕ นาที ทางคับแคบของฆราวาสคือคับแคบแบบนี้

เว้นไว้แต่ฆราวาสที่มีสติปัญญา หน้าที่การงานของเราก็ทำ ทรัพย์ความเป็นจริงของใจก็ทำ ทรัพย์นะ อริยทรัพย์ ทรัพย์ตามความเป็นจริง เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา เวลามันเป็นสมาธิขึ้นมานะ นั่นน่ะอริยทรัพย์ ทรัพย์ที่เกิดขึ้นมาจากความเพียร ความเพียรชอบคืองานชอบ งานชอบ ความระลึกชอบ สติชอบ ปัญญาชอบ ความชอบธรรม แล้วมันจะเกิดความมหัศจรรย์

ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า ใครทำสมาธิได้ เหมือนคนนั้นมีบ้านมีเรือนหลังหนึ่ง

เราเป็นคนไร้บ้าน คนไร้บ้านไม่มีที่พึ่งพาอาศัย คนที่มีบ้านเขามีความสุขของเขานะ ลองทำสมาธิดู แล้วถ้ามันเป็นไปได้นะ สัจจะมีหนึ่งเดียว อริยสัจมีหนึ่งเดียว เวลาปฏิบัติไปแล้วอริยสัจมีหนึ่งเดียว ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรคเป็นหนึ่งเดียว แล้วธรรมะไม่มีขัดไม่มีแย้งกัน ถ้ามีขัดมีแย้งกันต้องมีคนหนึ่งผิดแน่นอน

ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่มีขัดไม่มีแย้ง มันจะเป็นแนวทางเดียวกัน มันมีอยู่อย่างเดียวเท่านั้นแหละ อำนาจวาสนาด้อยกว่าหรืออำนาจวาสนามากกว่าเท่านั้น ถ้าอำนาจวาสนามากกว่าทำได้ง่ายกว่า อำนาจวาสนาน้อยกว่าทำได้ทุกข์ยากมากกว่า แต่ถ้าทำแล้วมันจะเป็นอริยสัจเหมือนกัน

ทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ทุกข์ดับ วิธีการดับทุกข์ นี้คืออริยสัจ นี้คืองานของมนุษย์ นี้คืองานของจิตที่พยายามค้นคว้าหาสัจจะหาความจริง

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนามารื้อสัตว์ขนสัตว์ รื้อสัตว์ขนสัตว์ที่หัวใจของสัตว์โลก

ร่างกายนี้ตายหมด หลวงปู่ลีท่านนิพพานแล้วทิ้งธาตุขันธ์ไว้ที่นี่ แต่นิพพานคือจบ จบตั้งแต่วันที่ท่านสิ้นกิเลส วันสิ้นกิเลส เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาท่านสิ้นกิเลส อีก ๔๕ ปีที่มีชีวิตอยู่ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นสอุปาทิเสสนิพพาน

นิพพานมีอยู่สองอย่าง อย่างหนึ่งคือสอุปาทิเสสนิพพาน คือนิพพานทั้งๆ ที่ยังมีชีวิตอยู่ แล้วเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะดับขันธนิพพาน นั้นคือสิ้นชีวิตไป นี้คืออนุปาทิเสสนิพพาน นิพพานที่หมดสิ้นจากกิเลส หมดสิ้นจากธาตุขันธ์

เวลาบุญในพระพุทธศาสนาที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประกาศไว้ “บุญในพระพุทธศาสนาที่มีบุญกุศลสูงสุดมีอยู่สองคราว คราวหนึ่งได้ฉันอาหารของนางสุชาดา เราถึงซึ่งกิเลสนิพพาน” คือกิเลสในใจของท่าน “อีกคราวหนึ่งเราได้ฉันอาหารของนายจุนทะ เราถึงซึ่งขันธนิพพาน”

ทำไมต้องขันธนิพพาน ขันธ์นิพพานได้หรือ ขันธ์มีกิเลสหรือ แต่เพราะมันมีเศษส่วนที่แบกรับกันมา

นี่ก็เหมือนกัน หลวงปู่ลีท่านสิ้นกิเลสไปแล้ว จบแล้ว ฉะนั้น สิ่งที่ท่านดับขันธ์ไปคือจบกระบวนการของท่าน นี้เป็นการพิสูจน์ในพระพุทธศาสนาว่ามรรคผลนิพพานมีอยู่จริงนะ มรรคผลนิพพานมีอยู่จริง ทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ทุกข์ดับ วิธีการดับทุกข์

ถ้าเรายังมีทุกข์เข็ญอยู่ในหัวใจ ที่เรามาประพฤติปฏิบัติกันเราต้องการสัจจะต้องการความจริง ต้องการธรรมโอสถเพื่อผ่อนคลาย เพื่อละปล่อยวาง เพื่อปลดล็อก เพื่อละกิเลส ถ้าทำได้สิ้นกระบวนการของมัน เห็นไหม

นี้จะบอกว่า เวลาที่พระไปอยู่ป่าอยู่เขาจะอยู่สิ่งใดก็แล้วแต่ เขาไปอยู่เพื่อประพฤติปฏิบัติ ไม่ใช่ไปอยู่แล้วจะเป็นคนดีขึ้นมาได้ ถ้ามันไปอยู่ป่าอยู่เขาเป็นคนดี ชุมชนท้องถิ่นเขามีอยู่แล้ว แล้วไปอยู่ในป่า สัตว์ป่ามันอยู่ในป่าอยู่แล้ว แต่เราเป็นมนุษย์นะ เราอยู่บ้านอยู่เมืองเรามีความสุขนะ ทำไมเราต้องเสียสละไปอยู่ในป่าในเขาล่ะ

ไปอยู่ในป่าในเขาคือว่าไปค้นคว้าหากิเลส กิเลสมันต้องการอยู่สุขอยู่สบาย อยู่ในที่รื่นเริงของมันทั้งนั้นน่ะ แต่ถ้าพอไปในที่ทุกข์ที่ยาก มันดิ้นรน มันดิ้นรนไม่ไปทั้งนั้นน่ะ

อย่างเช่นหลวงตา หลวงปู่มั่นให้ไปอยู่กับเสือนั่นน่ะ ท่านก็ไป แต่ก่อนไปท่านคิดได้ แต่ถ้าบางคนเขาไม่ไปก็ได้ ออกจากวัดไป หนีไปไหนก็ได้ นั่นคือว่าเขาไม่มีอำนาจวาสนา คนที่มีอำนาจวาสนาเขาทำตามที่ครูบาอาจารย์ของเขาสั่งสอนของเขา แล้วพอผลมันตอบรับมา ผลที่ได้มาจริง โอ้โฮ! เวลาครูบาอาจารย์ของเราท่านถึงบอกไง “หลวงปู่มั่นเป่ากระหม่อมเรามา หลวงปู่มั่นเป่ากระหม่อมเรามา”

หลวงปู่มั่นท่านอยู่กับหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่เสาร์พาท่านวิเวก พาท่านหลบหลีกจากเพื่อนๆ ตอนบวชแล้วเพื่อนมาเยี่ยม เพื่อนมาคลุกคลี พาออกวิเวก พาออกวิเวก ต้องการธรรม ต้องการสัจธรรม

ถ้าต้องการสัจธรรม ต้องการความจริง เราต้องเผชิญกับความจริงอันนั้น แล้วมันจะได้ความจริงขึ้นมาในหัวใจนั้น ถ้ามันได้ความจริงขึ้นมาในหัวใจนั้น เหนือโลก ไม่กลัวใดๆ ทั้งสิ้น เรื่องโลกๆ หลวงตาว่าถังขยะ จิตใจมันสูงส่งกว่านั้น

นี่พูดถึงว่าการอยู่ป่าเพื่อเหตุผลนั้น แล้วเราจะมาทอดกฐิน เพราะสงฆ์ของเราบางปีก็ครบสงฆ์ บางปีก็ไม่ครบหรอก เพราะว่าพระต้องวิเวกไป พระ เป็นสิทธิ์ของพระ

หลวงตาท่านพูดเลย ถ้าเป็นวินัยนะ ท่านจัดการหมด ผิดไม่ได้ แต่ถ้าเป็นธรรมนะ เป็นสิทธิ์ของเขา

นี่ก็เหมือนกัน พระที่พอใจมาอยู่ที่นี่เขาก็มาของเขา พระที่พอใจจะไปวิเวกที่ไหน จะไปหาความสงบสงัดที่ไหน ฟรีสไตล์นะ เพราะบวชมาแล้วเหมือนนก มีปีกกับหาง บิณฑบาตมาฉันแล้วบินไป บินไป บินไปค้นคว้า บินไปแสวงหา บินไปหาความจริง เอวัง